วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค2)

       สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกันอีกแล้ววจะมีเรื่องอะไรให้ติดตามบ้าง ไปดูกันเลย
 
เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค2)
 
 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ตำนาน มหาลัยเชียงใหม่
 

1. กุหลาบแดง คณะสื่อสารมวลชน

แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะเราดูอยู่ตลอด แต่ทำไงได้ภาพในกล้องวีดีโอมันทำให้เราเห็นว่า น้องๆ ที่แสดงในวันนั้น ไม่ได้มีแค่ 4 คน แต่มันกลับมี 5 คน…
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2550 เมื่อคณะสื่อสารมวลชน มช. ต้องทำการแสดงในช่วงค่ำ คืนของวันสปอร์ตไนท์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของคณะที่จะนำเสนอการแสดงของตนเอง ด้วยความที่เป็นคณะที่กล้าแสดงออก จึงคิดค้นการแสดงแปลกๆ ขึ้นมา เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากคนดู เหล่ารุ่นพี่จึงตกลงปลงใจที่จะนำเสนอการแสดงที่มีชื่อว่า “กุหลาบแดง” ซึ่งมีผู้แสดงทั้งหมด 4 คน ใส่ชุดยาวสีขาวทุกคน และต้องปืนป่ายขึ้นไปบนสแตนด์ สูงประมาณ 3 ชั้นของตึก เพื่อที่จะโรยตัวลงมา เพราะการแสดงชุดนี้ มีคอนเซ็ปต์ที่นำเสนอเกี่ยวกับ สาวที่อกหักจากหนุ่มคนรัก จึงตัดสินใจผูกคอตาย “รู้ว่ามันเป็นวิธีที่เสี่ยง ถ้าน้องๆ เกิดพลาด ดึงเชือกแขวนคอจริง เราคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่ แต่หลังจากที่ซักซ้อมมาหลายวันก็มั่นใจว่าน้องต้องไม่พลาด”
หลังจากที่การแสดงจบลง ทุกอย่างเป็นตามที่ตั้งหวังไว้ การแสดงชุดนี้ได้รับความชื่นชมจากเพื่อนรวมคณะ และต่างคณะ ทุกคนพากันมาแสดงความยินดี และพูดขึ้นว่า “ชอบจัง แสดงได้ดี น่าหวาดเสียวทั้ง 5 คนเลย” ทุกคนที่จัดการแสดงอึ้ง แบบพูดไม่ออก เพราะการแสดงชุดนี้มีผู้แสดงเพียง 4 คนเท่านั้น และคนที่ 5 เป็นใคร จากนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งที่ถือกล้องวิดีโอบันทึกภาพ วิ่งมาอย่างหน้าตาตื่น บอกว่า… จริงอย่างที่เพื่อนพูด การแสดงชุดนี้มี 5 คน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นผู้แสดง 4 คน รุ่นพี่จึงตัดสินใจลบภาพ และเก็บเรื่องไว้เป็นเพียงเรื่องเล่า แต่ก็ยังมีคนนำกลับมาเล่า พร้อมกับหลักฐานที่บางคนเห็น และบางคนไม่เห็น ในเว็บไซต์ต่างๆ ลองเข้าไปดู และตัดสินช่วยพวกเราตัดสินอีกครั้งว่าการแสดงชุดนี้ มีกี่คนกันแน่?

2. ผีห้องน้ำหอ 7 หญิง

เรื่อง เล่าจากประสบการณ์จริงของรุ่นน้องที่อยู่หอ 7 หญิง เล่าว่า ไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ ชั้น 3 ซึ่งน้องเข้าไปอาบน้ำในห้องที่เขากั้นให้อาบ โดยเดินไปอาบห้องในสุด ซักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาอาบน้ำในห้องข้างๆ ได้ยินเสียงฝักบัว แถมยังมีน้ำกระเซ็นเข้ามาที่ห้องตัวเองอาบอยู่อีกต่างหาก แต่รุ่นน้องอาบน้ำช้า ห้องข้างๆ เลยกลับออกไปก่อน พอรุ่นน้องอาบน้ำเสร็จ เปิดห้องออกมา ตอนออกก็ต้องเดินผ่านห้องข้างๆ อยู่แล้ว เพราะตัวเองอาบห้องในสุด แต่พอมองเข้าไปในห้องข้างๆ กลับไม่มีร่องรอยการอาบน้ำเลย ตรงฝาผนังและพื้นแห้งสนิท!
เช่น เดียวกันกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งแก่กว่าประมาณ 3 ปี ที่เดินไปอาบน้ำ ที่ห้องอาบน้ำชั้น 2 เล่าให้ฟังว่า กำลังจะเข้าไปอาบน้ำ ทั้งห้องอาบน้ำมีพี่เจาอยู่คนเดียว กำลังจะสระผม รู้สึกว่ามีน้ำกระเด็นมาจากห้องข้างๆ แต่ไม่มีเสียงน้ำ ด้วยความสงสัย จึงหยุดแล้วไปดูห้องข้างๆ ก็ไม่เห็นมีน้ำรั่วหรือซึม ทั้งผนัง และเพดานแห้งหมด ไม่มีรอยเปียกน้ำเลย พอเข้าห้องมาจะอาบน้ำต่อก็มีน้ำกระเซ็นมาโดนอีก คราวนี้ไม่อยู่แล้ว เก็บของออกจากห้องน้ำไปเลย ^^

3. ถนนขึ้นดอยสุเทพ

ดอย สุเทพเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในประเทศไทย และในเวลากลางคืนก็มีผ้คนนิยมขับรถขึ้นไปชมวิวยามค่ำคืนกัน และอย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆ นักศึกษาทั้งหลายมักจะชอบขับรถขึ้นดอยกัน เพื่อดูวิวเมืองเชียงใหม่ในตอนกลางคืน เพราะมันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมา ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะ)
วัน หนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ 2 คน เพิ่งเลิกสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ จากร้านกังสดาล (แต่ก่อนร้านนี้ฮิต) ครึ้มๆ ขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้าหอพัก กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไป คนข้างหลังที่ซ้อนก็นั่งไปเมาๆ แล้วก็หลับเลย (สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุก วันนี้)
ซัก พักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไมไม่ จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไรให้ช่วย?” คนขับตอบกลับไปว่า “ไม่จอด คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้าก็เจอเขาอีกแหละ…”

4. หอพัก ห้องสีชมพู

ห้องสีชมพูตำนานอันลือลั่นของเด็กใหม่ปี 1 ทุกคน โดยเฉพาะ นักศึกษาหญิงที่จะต้องพักที่หอ 8 โดยรุ่นพี่ที่เคยอยู่หอนี่จะบอก และย้ำเสมอว่า เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนไปด้วยเสมอ ห้ามลืมเด็ดขาด! นี่คือคำเตือนของรุ่นพี่ประจำหอ
แล้วรุ่นพี่อีกคนก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของห้องสีชมพูนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ปี 32 ซึ่งมีประเพณี หรือเรียกว่ากฏของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน เพื่อที่เวลาพี่เรียกมาทำกิจกรรมรับน้องจะได้มาพร้อมเพรียงกันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่อยู่เชียงใหม่ส่วนมากจะกลับบ้านเย็นวันศุกร์ แล้วกลับเข้าหอก่อนเย็นวันอาทิตย์
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะเกิดมาชอบ กับนักศึกษาหญิงน้องใหม่คนหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่คนนี้เลยชวนนักศึกษาหญิงไปอยู่ด้วยกันที่หอหลัง มช. ทุกเย็นวันศุกร์หน้าหอ 8 จะมีรุ่นพี่คนนี้มาจอดรถรอ นักศึกษาหญิงคนนี้ และจะมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ทุกครั้ง เป็นไปอย่างนี้เกือบจะ 5 เดือนจนเป็นที่อิจฉาของเหล่า นศ.หญิงที่หอนั้น ใครเห็นก็ต่างพูดแซวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นศ.หญิงรู้สึกดีใจ และรักรุ่นพี่คนนี้มาก แต่ต่างกันรุ่นพี่คนนี้เริ่มที่จะตีตัวออกห่าง เพราะรู้สึกว่านศ.หญิงคนนี้ เริ่มที่จะจริงจังกับตนเองมากเกินไป
แล้ววันที่นศ.สาวคนนี้เสียใจที่สุด และได้สร้างตำนานอันลือลั่นก็มาถึง ทุกเย็นวันศุกร์รุ่นพี่จะต้องมารับเป็นประจำทุกครั้ง.. แต่วันนี้รุ่นพี่มาถึงก็ดึกมากแล้ว นศ.หญิงเลยถามว่า “ทำไมมาดึกจัง” ซึ่งหลายคนก็บอกว่าเพราะรุ่นพี่คนนั้นไปติดพันหญิงอีกคนอยู่นศ.หญิงคนนี้ ได้ยินแล้วก็เก็บไว้ในใจตลอดไม่กล้าที่จะถาม เพราะกลัวเสียคนรักไป และเธอก็บอกกับรุ่นพี่คนนี้ว่ามีเรื่องที่จะพูดด้วย เป็นเรื่องสำคัญมาก รุ่นพี่คนนี้ก็บอกให้ไปคุยกันที่หอ
หญิงสาวคนนี้ก็เลยซ้อนรถไปแล้วก็คุยขณะที่ซ้อนรถอยู่ บอกว่า “ตนเองตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว” พอได้ยินแค่นั้นรุ่นพี่คนนี้ก็จอดรถทันที แล้วก็ถามย้ำว่า “เมื่อกี้พูดว่าอะไร” นศ.สาวเลยย้ำไปว่าตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว รุ่นพี่คนนี้ไม่รับผิดชอบหาว่า เธอนอกใจไปคบชายอื่น พอท้องแล้วจึงมาอ้างว่าตนเป็นคนทำ รุ่นพี่คนนี้บอกเลิกเธอในทันที และปล่อยให้เธอเดินจากหลัง มช.กลับมาที่หอตามลำพัง
ระหว่างทางนศ. สาวคนนี้ก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกเสียใจปนความเคียดแค้นต่อชายหนุ่มที่ทิ้งเธอไป บวกกับกลัวทางบ้านจะรู้ความจริง และทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทำให้เธอตัดสินใจเอาเด็กออก แต่เธอไม่กล้าพอที่จะไปที่โรงพยาบาล หรือบอกให้ใครทราบ พอมาถึงห้องเมทไม่อยู่เพราะกลับบ้านกันหมด เธอเลยเอาเด็กออกด้วยตัวเอง โดยการเอาไม้บรรทัดเหล็กกระทุ้งจนมดลูกฉีก เธอทำไปโดยไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง ทำให้เธอเกิดอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเธอได้เขียนข้อความไว้บนกำแพงห้องนั้นว่า “กูมีมึงคนเดียว”
วันรุ่งขึ้นเมทร่วมห้องก็เข้ามาที่หอด้วยท่าทีวิตกกังวล และได้ไปที่ห้องพักที่เธอได้พักกับนศ.สาวคนนี้ ก็ได้พบกับศพของหญิงสาว รอยเลือดกระจัดกระจาย และข้อความบนกำแพง จึงแจ้งให้ป้าผู้คุมหอทราบ ก็ได้มีการสอบสวนเมทคนนี้ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนเสียชีวิต เมทคนนี้ก็บอกว่าเมื่อคืนฝันเห็นเพื่อนมาบอกลา และให้ไปเอาศพที่ห้องลงมาด้วย แถมยังฝากบอกป้าคุมหออีกว่า… ห้ามใครก็ตามมายุ่งกับห้องของเธอ
หลังจากจัดการเรื่องศพ และงานศพเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการทำความสะอาด ห้องนั้นโดยใช้ผ้าชุดน้ำเช็ดรอยเลือดให้สีจางลง เปลี่ยนที่นอน และผ้าปูที่นอนใหม่จนห้องเกือบจะสะอาดเหมือนเดิม แต่รุ่งขึ้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนขนลุกก็คือ ทั้งรอยเลือด และข้อความที่หญิงสาวคนนั้นทิ้งไว้ไม่ได้หายไป แต่รอยเลือดกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม”
ทางหอเลยพิจารณาเอาสีใหม่มาทาทับไม่ให้เห็นรอยเลือด แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นรอยต่างๆ ก็กลับมาอยู่ดังเดิมเหมือนกับไม่ได้มีการนำสีมาทาแต่อย่างใด ทางหอเลยได้เชิญพระที่วัดฝายหินมาทำพิธี แต่พระท่านบอกว่า ทำพิธีไล่ไปคงไม่ได้เพราะวิญญาณนี้เฮี้ยนมาก วิญญาณเขายังมีความอาฆาต และมีลูกในท้องอีกด้วย เลยได้แต่ทำการสะกดวิญญาณไม่ให้ไปหลอกคนในหอ หลังจากทำพิธีสะกดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ทางหอก็ได้ทาสีห้องใหม่ แต่คราวนี้ใช้สีชมพู เพราะจะได้มองไม่เห็นคราบเลือดบนกำแพง จนกลายมาเป็นตำนานห้องสีชมพูจนถึงเดี๋ยวนี้
และปัจจุบันได้กลายเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง!

5. ห้องแลปฟิสิกส์

เรื่องนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกวิทยาศาสตร์ ชั้น 9 ยังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี 1 ก็ยังทำที่แลปเก่าอยู่ แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืด เพราะปิดไฟ เป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆ ก็มากันหมดแล้ว พอเตรียมอุปกรณ์เสร็จ เพื่อนก็มาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ เหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมา เพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น นศ. หญิงร้องกรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง
ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซค รถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ทเนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต

6. หอผู้ป่วย ห้องพิเศษ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยใน ห้องพิเศษ มีนศ.ชายมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งรักษาอยู่ในโรงพยาบาล คณะแพทย์ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ คุยกันจนเพลิน นึกขึ้นได้ว่าดึกมากแล้ว จึงขอลากลับ ซึ่งเวลา 4 ทุ่มของวอร์ดนี้ โดยเฉพาะแผนกห้องพิเศษ ช่างเงียบสงัดนัก นศ. คิดว่า เขาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน…
เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยอื่นมาเรื่อยๆ เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ซึ่งอยู่ที่สุดทางเดินอันยาวนี้ พยาบาลที่เคาท์เตอร์ก็ไม่อยู่ เนื่องจากต้องไปดูแลผู้ป่วยห้องต่างๆ เขาเดินไปได้กลางทาง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากี ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั่วๆ ไป เดินเข้ามาในวอร์ดผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่ พยาบาลคงเรียกเขามาเอา specimen ไปส่งห้อง LAB กระมัง (นศ. คิดในใจ)
ทันใดนั้นเองนศ.ชาย ขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว ชายคนดังกล่าวที่กำลังเดินใกล้เข้ามานั้น ไหล่และมือของเขานิ่งมาก ไม่มีการขยับหรือแกว่ง ตามจังหวะการเดินเลย เหมือนว่าเขาไม่ได้เดินมา! เขาเหมือนลอยเข้ามามากกว่า ในใจของ นศ.ชาย รู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ชายเสื้อสีกากีดังกล่าวก็ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในจังหวะที่ทั้งสองสวนผ่านกันนั้น (ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร) นศ.ชาย สังเกตเห็นว่าชายคนนั้นลอยอยู่จริงๆ! ปลายนิ้วเท้าสองข้างของเขา ชี้ลงไปที่พื้น หน้าก้มต่ำ ผมเขายาวเล็กน้อยปิดบังหน้าตาไว้ นศ.ชาย ถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัว และสัมผัสได้ถึงความเย็น
หลังจากเดินผ่านชายเสื้อกากีมาแล้ว นศ.ชาย ก็หันกลับไปมองชายคนนั้น ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัว ชายคนดังกล่าวหยุดอยู่นิ่ง แล้วค่อยๆ หันหน้าซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง ผิวสีเทาๆ มองหันกลับมามายัง นศ.ชาย แล้ว ยิ้ม แหยะๆ ให้ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว นศ. รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากวอร์ด แล้วไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย


ที่มา:https://campus.campus-star.com/actale/945.html

ตำนาน เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค1)

      สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกันอีกแล้ววกับตำนาน เรื่องลี้ลับ จะมีเรื่องอะไรบ้างไปดูกันเลย

ตำนาน เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค1)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ตำนาน มหาลัยเชียงใหม่

 

1. มิตรภาพอยุ่เหนือความตาย… ป๊อก… ป๊อก… ครืด

เรื่องผีสุดสยองอันดับหนึ่งของมหาลัยเชียงใหม่ที่ใครๆ ต้องเคยได้ยิน เพราะความน่ากลัวถึงขั้นนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว เรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาโดยไม่ทราบระยะเวลาเกิดเหตุที่แน่นอน แต่เรื่องราวสุดสยองเรื่องนี้ได้เริ่มต้นขึ้นที่หอหญิงในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่รู้จักกันดีคือ หอ 7 ซึ่งในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนหนทางยังไม่ค่อยดีนัก การเดินทางค่อนข้างลำบากเพราะเป็นถนนลูกรัง เวลาฝนตกก็เต็มไปด้วยโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนก็ไม่ค่อยมีแสงไฟ…
เรื่องเกิดขึ้นกับนักศึกษาสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ 7 ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบพอดีนักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้อง ตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหวอยากพักผ่อน รูมเมทอีกคนเห็นเพื่อนสาวไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่า “เดี๋ยวจะไปทานข้าวเอง แล้วจะซื้อข้าวมาฝาก”
หลังจากนั้นนักศึกษาสาวที่ป่วยก็เผลอหลับไป และสะดุ้งตื่นมาอีกทีกลางดึก ก็พบว่าเพื่อนร่วมห้องยังไม่กลับมา สักพักก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นล่างทางบันได “ป๊อก…ป๊อก…ป๊อก…ครืด…ครืด…ค..รื…ด” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง สักพักหนึ่งก็มีเสียงเคาะห้อง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป
นักศึกษาหญิงตกใจคิดว่าไม่ใช่เพื่อนอย่างแน่นอน ถ้าใช่เพื่อนต้องเปิดประตู้เข้ามาแล้ว จึงได้เดินออกไปเพื่อเปิดประตูดูว่าเป็นใคร ก็พบว่าตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ข้าวแขวนอยู่ ก็แปลกใจว่า “แล้วเพื่อนอยู่ไหน? ทำไมไม่กลับมา?” มีแต่รอยเปียกน้ำ เป็นทางจากบันได คิดต่างๆ นานา แต่แล้วก็แกะข้าวออกมาทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็หลับไป
พอรุ่งเช้า… มีคนมาเคาะประตูห้องแล้วบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืน ตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ สภาพศพแขน และขาทั้งสองข้างหัก อาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหิน หรือตลาดต้นพยอม หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดยเพื่อนฝากซื้อข้าว คนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ “แล้วอาหารที่มาแขวนหน้าห้องเมื่อคืนล่ะ?”
ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมา คือหลังจากที่ตายไปแล้วด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ที่ไม่สบาย และยังไม่ได้รับประทานอาหาร จึงนำข้าวที่เพื่อนฝากซื้อไปส่งให้ แต่แขนหักขาหักหมดแล้ว จึงใช้ปากคาบถุง แล้วใช้คางเกยถนนพาตัวเองมาจนถึงหอพัก และลากตัวเองขึ้นบันไดมา เป็นเสียง ป๊อก…ป๊อก และเสียง…ครืด ที่ได้ยินคือ เสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งข้าวให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาหญิงคนนั้นเล่า แต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่า ในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนัก และลากของหนักจากข้างล่างขึ้นมา ทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ และทำให้เรารู้ว่า “มิตรภาพอยู่เหนือความตาย” อ่านแล้วขนลุกมากๆ ซึ้งด้วย

2. หอนาฬิกา วนครบ 3 รอบเจอดีแน่

อันเนื่องจากตรงที่ตรงนี้เคยเป็นป่าช้า และลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่าเรื่องผีทั้งเก่า และใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังม.เชียงใหม่ ตรงนั้นจะเป็นวงเวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาศาสตร์ และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอ 4 (ชาย) และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอ 6 (หญิง) เรื่องนี้เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของ อาจโดนดีได้
วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปขับรถวนทวนเข็มที่หอนาฬิกา 3 รอบ (ปกติวงเวียนจะให้รถขับวนตามเข็มนาฬิกา) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้นไม่เคยมีใครขับรถทวนเข็มนาฬิกาได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ วนไปรอบสองก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่พอมาถึงตอนจะวนครบสามรอบเท่านั้นแหละ จู่ๆ ก็มีเสาสองต้นมาตั้งขวางถนน ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้างแฉลบบ้างไปตามๆ กัน ใครอยากรู้ก็ลองดูนะ
อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชาย 4 และหญิง 6 ฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆ เล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิตไม่มีการทำกิจกรรม และคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็ไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญบางห้องได้ยิน บางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน?

3. ป้าลูซี่ คณะมนุษยศาสตร์

ป้าลูซี่ เป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่า เขาคอยห่วงใย ดูแลเราอยู่ไม่ห่าง โดยเฉพาะช่วงเวลารับน้อง พวกเราจะเจอป้าลูซี่ทุกครั้ง…. บริเวณตึกคณะมนุษยศาสตร์ มช. จะมีเนินหญ้าที่เชื่อมระหว่างธารน้ำเล็กๆ และมีสะพานเดินข้าม ซึ่งเป็นบริเวณใกล้กับสถานที่รับน้องของคณะ ซึ่งช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม จะเป็นช่วงสุดท้ายของการรับน้อง ก่อนที่จะปล่อยกลับเข้าหอพัก ก็มีนศ.ชายคนหนึ่งเกิดไม่สบาย เป็นหอบ รุ่นพี่จึงพาไปยังห้องพยาบาล ซึ่งอยู่บริเวณเนินหญ้า หลังจากที่ปล่อยนศ.หญิงกลับหอพัก ส่วนนศ.ชาย อยู่รับน้องต่อจนกระทั่งมีเสียงหมาหอนดังขึ้นเป็นระยะๆ หลายคนสงสัยแต่ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งงานรับน้องจบลง มีนศ.น้องใหม่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า เห็นผู้หญิงใส่ชุดขาว ยืนดูอยู่กิจกรรมรับน้องอยู่นาน แต่ก็ไม่พูดอะไร เพราะคิดว่า คงเป็นอาจารย์ที่เดินมาดูแลความเรียบร้อย บางคนก็บอกว่า รู้สึกเหมือนมีคนมาลูบหัว จนกระทั่งเหตุการณ์นี้ ได้คลายความสงสัยลง เมื่อรุ่นน้องที่อยู่ในห้องพยาบาล ซึ่งรับรู้เรื่องแบบนี้ หรือเรียกว่า มีจิตที่สัมผัสได้ ก็ทักขึ้นมาว่า “เมือคืนหนักเลยละซิ เขา (ผู้หญิงใส่ชุดขาว) เป็นห่วงกลัวเด็กๆ เกิดอันตราย เลยต้องมาดูแลอยู่ไม่ห่าง”

4. ผีห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์

ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆ หน่อย ลองไปหาดูเอาเองนะ ลักษณะห้องน้ำคือ ประตูทางเข้าอยู่ตรงกลาง เมื่อเข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้าจะอยู่ทางขวามือ รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมฯ เล่าว่า มีคนเล่าให้ฟังมาอีกต่อว่า ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบ ได้ไปอ่านหนังสือที่คณะสังคมฯ แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำแห่งนี้ ไปเข้าห้องน้ำคนเดียว คนอื่นๆ ก็นั่งอ่านหนังสือต่อ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ตามธรรมดา ในห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน คือ อันแรกติดประตู อันที่สองอยู่ด้านขวาถัดไปข้างในอีก เขาบอกว่า ตอนจะฉี่ก็จะฉี่ที่โถแรก เพราะใกล้ แต่ไม่รู้นึกยังไง เดินเลยไปฉี่ที่โถด้านใน ตอนกำลังฉี่ก็ยังไม่มีอะไร แต่ตอนฉี่เสร็จแล้ว มองออกไปที่กระจก ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นว่า กำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก! (แต่หันหลังให้) นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม?

5. วงเวียนธรณี

ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางวงเวียนธรณีเป็นประจำด้วยนะ จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ นานมาแล้วมีนักศึกษา 2 คนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณี คนขี่มอเตอร์ไซต์มองไปทางข้างตึกอังกฤษ เห็นคนหัวขาดยืนอยู่
ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกที แล้วสะกิดถามเพื่อนที่นั่งมาด้วยกันว่า “เห็นอะไรหรือเปล่า” เพื่อนตอบกลับมาว่า “ไม่เห็นอะไรเลย” พอมองไปอีกทีก็ไม่มีแล้ว แต่พอหันกลับมาข้างหน้าก็ปรากฏว่า มีลวดเส้นเล็กๆ ขึงอยู่ ระดับคอห่างออกไปเมตรเดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!… แน่นอน

6. ก๊อกน้ำนิติเวช

อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกัน 2 คน พอดึกๆ ก็ไปซื้อไก่ทอดมากิน พอกินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือ ไปเจอก๊อกน้ำข้างตึก จึงเดินไปล้างมือที่นั่น ตอนที่ล้างมืออยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้าตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร? คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึก แล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไร อีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่า เห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้นมา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!

7. ทางเดินคณะวิศวกรรมศาสตร์

ทางเดินคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีนศ. 4 คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ 5 ชาย วันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไร “ไม่ตอบ” เลยถามต่อว่า “มาคนเดียวใช่รึไม่ใช่” ก็ตอบว่า “ไม่ใช่” จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร่ “เค้าก็ตอบว่าเก้า (ไปเลข 9)”
คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออก แล้วรีบกลับมาที่หอ มีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่า “ไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิศวกรรมศาสตร์มา” เพื่อนก็ว่า “อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆ ตรงทางเดินน่ะนะ”


ที่มา:https://campus.campus-star.com/actale/942.html

ตำนาน เมืองเชียงใหม่

      สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกันอีกแล้ววกับตำนาน เรื่องลี้ลับ จะมีเรื่องอะไรบ้างไปดูกันเลย

ตำนาน เมืองเชียงใหม่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ตำนาน เมืองเชียงใหม่

 
   เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ในตำนานแรก ๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำ นานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา กล่าวถึงลัวะว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา   ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวี วงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะว่าเป็นคนเกิดในรอยเท้าสัตว์ ด้วยเหตุที่ลัวะถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนาน รุ่นหลังอย่าง ตำนานสุวรรณคำแดงหรือตำนานเสาอินทขิล    เล่าว่าลัวะเป็นผู้สร้างเวียง เจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรีหรือเชียงใหม่ ลัวะจึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรกที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้าที่ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้วแต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
        ในขณะเดียวกันที่ลำพูน ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองกล่าวว่า พระนางจามเทวีวงศ์ ธิดากษัตริย์เมืองละโว้เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ. 1310-1311 ครั้งนั้นพระนางได้พาบริวารข้าราชบริพารที่เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการต่างๆขึ้นมาด้วย หริภุญไชย จึงได้รับเอาพุทฑศาสนาและศิลปวัฒนธรรมละโว้มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่
         จวบจน ประมาณปี พ.ศ. 1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยางซึ่งได้แผ่อำนาจครอบลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการซ่องสุมไพร่พลเพื่อยึดครองหริภุญไชย เนื่องจากหริภุญไชยเป็นเมืองศูนย์กลาง ความเจริญและเป็นชุมทางการค้า พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ. 1837 ก่อนจะย้ามาสร้างเวียงเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ร่วมกันสถาปนา “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ขึ้น
            พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม มีการตรากฎหมายที่เรียกว่า “มังรายศาสตร์” รวมถึงรับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักร ซึ่งทำให้พระภิกษุในล้านนาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนาได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวางพร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เองที่ได้มีการสัยคายนาพระไตรปิฏขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
         อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงในปลายสมัยพญาเมืองแก้ว เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุงพ่อยแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมากประกอบกับเกิดอุทกภัย กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง พ.ศ. 2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี
          ต่อมาในปี พ.ศ. 2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละขึ้นครองเมืองในฐานะเมืองประเทศราช พระเจ้ากาวิละได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่น ๆ ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง
           ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย มีการปฏิรูปการปกครอง โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้าเป้นมณฑลพายัพ แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้าอินทวชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
        เมื่อมีการสร้างทางรถไฟขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่ขยายตัวยิ่งขึ้นและใกล้ชิดกรุงเทพฯ มากขึ้น ในปี พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิกเชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง หลังจากนั้นเชียงใหม่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีความสำคัญรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น
 

ตำนาน ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน

  

สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกันอีกแล้ววกับตำนาน เรื่องลี้ลับ จะมีเรื่องอะไรบ้างไปดูกันเลย

ตำนาน ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน

 
ตำนานที่ 1
เจ้าหญิงแห่งเมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา หนีตามชายเลี้ยงม้าในวังไปจนถึงที่ราบใกล้แม่น้ำโขง ขณะนั้นเจ้าหญิงก็ทรงครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว เดินทางต่อไม่ไหว จึงขอรออยู่ที่นี่ ส่วนสามีก็อาสาออกไปหาอาหารมาให้ แต่หายไปไม่กลับมาอีกเลย ทราบข่าวอีกทีว่าสามีถูกฆ่าโดยทหารของพระราชบิดา นางเสียใจมาก เลยเอาปิ่นปักผม แทงพระเศียรตนเอง จนเลือดไหลออกมาเป็นสาย กลายเป็นแม่น้ำแม่สาย ร่างที่นอนเหยียดยาวจากทิศใต้จรดทิศเหนือ ก็กลายเป็น ดอยนางนอน และตรงท้องที่นูนขึ้นมาก็เป็นดอยตุง อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้

ตำนานที่ 2
พญานาคตัวหนึ่งออกตามหาลูกสาว ที่ถูกพญาครุฑลักพาตัวไป จนพบลูกสาวนอนอยู่ตรงบริเวณที่เป็นต้นน้ำ ปัจจุบันเรียกว่า “ขุนน้ำนางนอน” พญานาคขอลูกสาวคืน แต่พญาครุฑขอแลกกับทองคำ ทุกวันนี้แหล่งน้ำที่พญานาคนำทองคำขึ้นจากบาดาลนั้นเรียกว่า “หนองตานาค” บริเวณที่พญานาคส่งทองคำให้พญาครุฑเรียกว่า “หนองละกา” ส่วนทองคำถูกนำไปเก็บไว้ที่ “ถ้ำทรายทอง” และพญานาคยังได้สร้างเจดีย์ เป็นอนุสรณ์ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “พระธาตุจอมนาค” จนถึงปัจจุบัน

 
ตำนานที่ 3
เจ้าหญิงเมืองพุกามกรีธาทัพออกตามหาเจ้าชายที่นางรัก นางออกรบ และขยายอาณาเขตมาเรื่อยๆ จนมาถึง “เวียงสี่ทวง” จึงพบกับเจ้าชาย แต่ปรากฏว่าเจ้าชายหนีหายไปกับสาวสวยชาวเวียงนี้อีกครั้ง นางรู้สึกเศร้าสลดจนตรอมใจตาย ก่อนตายได้ตั้งจิตอธิษฐานให้ร่างของนางกลายเป็นเทือกเขา ที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ดอยนางนอน” น้ำตาที่ไหลรินกลายเป็น “ขุนน้ำนางนอน” ส่วนไพร่พลของนางก็กลายมาเป็นชนเผ่าหลากชาติพันธุ์บนภูเขาแห่งนี้


ที่มา:https://travel.mthai.com/region/183730.html

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เมืองลับเเล

สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกันอีกเช่นเคยวันนี้เรามาติดตามกันดีกว่าว่าจะเรื่องใดบ้างที่จะนำเสนอในวันนี้ไปชมกันเลยค่ะ
 

เมืองลับเเล

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

พระพันธกานต์ อภิปญโญ สำนักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ฟังมาจาก “หลวงพ่อเกษม เขมโก” ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ซึ่งเล่าไว้ว่า

ชาวเมืองลับแลหรือบางทีภาษาท้องถิ่น เขาก็เรียกว่า "ผีบังบด" พวกนี้ก็เป็นชาวทิพย์กลุ่มหนึ่งเหมือนกันและสามารถรับบุญที่พวกมนุษย์อุทิศให้ได้เป็นอย่างดี ถ้าคับคล้ายคับคราว่าจะมีพวกเขาอยู่ที่แห่งใดหรือรับทราบสัญญาณกันได้ในทางใดทางหนึ่งก็อุทิศบุญเพื่อพวกเขาด้วย

เรื่องราวของพวกเขาเท่าที่ฟังจากหลวงพ่อเกษมเล่าให้ฟัง ก็เป็นชาวทิพย์ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะท่าทางการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนกันกับชาวโลกมนุษย์เราและอาศัยอยู่ในโลกด้วยกันกับพวกเรานี่แหละ เพียงแต่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง การดำเนินชีวิตของพวกเขาก็คล้ายๆกับมนุษย์เรานี่แหละ มีทั้งการทำไร่ไถนาทำการเกษตร  ทำงานหัตถกรรม  ทำการเลี้ยงสัตว์ แต่ว่าอาการที่พวกเขาทำก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ทำไปเพราะแรงแห่งกรรม ทำอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้ผลผลิตอะไรจากการกระทำ เช่น เลี้ยงวัวก็เลี้ยงอยู่อย่างนั้นแหละ เลี้ยงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมหมดกรรมเมื่อไหร่ก็ได้เลิกเลี้ยงวัว และวัวนั้นก็เป็นคนที่ตายแล้วไปเกิดเป็นผีวัวให้ได้เลี้ยงเพราะแรงแห่งบาปกรรมเหมือนกัน

คือชีวิตความเป็นอยู่ในโลกของพวกเขามันไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลง คืออยู่กันอย่างนั้นแหละ ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่านั้นและไม่ได้เลวลงไปกว่านั้น แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ยังดีกว่าเปรตและอสุรกาย แต่ก็ไม่ดีเท่ากับพวกเทวดาที่สถิตตามต้นไม้

กรรมอันใดเหรอ? 

ก็เป็นบาปกรรมแต่บาปไม่หนักมากพอที่จะทำให้เกิดในนรก - เปรต - อสุกาย และก็พอมีบุญอยู่บ้างจึงส่งผลให้ไปเกิดในที่ที่เรียกกันว่าเมืองลับแล ซึ่งมีเรื่องในพระไตรปิฎกอยู่เหมือนกัน คือ ชาวทิพย์เขามารักสาวชาวมนุษย์แล้วก็เลยเอาสาวชาวมนุษย์นั้นไปอยู่ในภูมิของพวกเขา สาวชาวมนุษย์นั้นไปอยู่ที่เมืองของเขาก็เข้าใจว่าผ่านไป 7 ปี แต่ถ้านับเวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไปถึง 700 ปี

 

นอกจากที่หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้เมตตาเล่าให้ฟังแล้ว ยังมีชื่อเมือง “ลับแล” ซึ่งเป็นชื่ออำเภอในจังหวัดอุตรดิตถ์ มีตำนานพื้นเมืองเล่าว่า

ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมืองด้วยความ สงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบเพราะชายหนุ่ม แอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลก เปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม

นางจึงพา ชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่า คนในหมู่บ้านนี้ ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชาย ส่วนมากมักไม่รักษา วาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง

 ชายหนุ่ม เกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอมแต่ให้ชายหนุ่มสัญญา ว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด

ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า “แม่มาแล้ว ๆ” มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้ สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก

จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้ว นางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดิน ทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้น เรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด

ครั้นเดิน ทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิมบรรดาญาติมิตรต่างก็ ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานานชาย หนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้ง แท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทองแต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม

 

 

ที่มา:https://www.winnews.tv/news/12792


ตายคาลิฟท์ตึก RN


สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกันอีกเช่นเคยวันนี้เรามาติดตามกันดีกว่าว่าจะเรื่องใดบ้างที่จะนำเสนอในวันนี้ไปชมกันเลยค่ะ

1.ตายคาลิฟท์ตึก RN

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ลิฟท์หลอน
      เรื่องเกิดขึ้นเมื่อตอนปิดเทอมในช่วงซัมเมอร์เทื่อ20กว่าปีมาแล้ว มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ลงลิฟท์ในช่วงเวลา1ทุ่มกว่าๆ หลังจากสอบเสร็จในวิชาสุดท้ายจากชั้น7ของตึกที่เรียนรวมกัน ทำให้นักศึกษาตัดสินใจลงลิฟท์แทนการลงบันไดเพื่อกลับบ้าน ในขณะเดียวกัน รปภ.ที่เฝ้าดูแลตึกนี้ได้กดสวิตซ์ตัดไฟเพราะคิดว่านิสิตได้ลงมาจากตึกหมดแล้ว ทำให้ไฟในลิฟท์หยุดฉะงักนักศึกษาหญิงคนดังกล่าวได้ติดอยู่ในลิฟท์ทำให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด ช่วงเวลาเปิดเทอมการเริ่มต้นในการศึกษาถือว่าเป็นข่าวดังในรอบหลายๆปีเพราศพของนักศึกษาหญิงคนดังกล่าวถูกตอกแหงกอยู่ในลิฟท์จนแห้ง หลังจากพิสูจน์หลักฐานพบว่าช่างเวลาที่นักศึกษาคนดังกล่าวติดอยู่ในลิฟท์เป็นเวลาถึง3เดือนในวันสุดท้ายของการสอบ ตลอดระยะเวลาไม่มีใครรู้ว่ามีเด็กติดอยู่ในลิฟท์จนไม่ได้รับการช่วยเหลือสุดท้ายจนถึงแก่ชีวิต ปัจจุบันถึงแม้ลิฟท์ดังกล่าวจะถูกถอนออกไปแล้วแต่บริเวณพื้นที่ลิฟท์ก็สั่งถูกปิดตายห้ามขึ้นห้ามใช้บริเวณฝั่งซ้ายเพื่อไว้อาลัยแก่นักศึกษาหญิง วันดีคืนดีอาจารย์ บุคลากรรวมทั้งนิสิตที่เรียนในช่วงตอนกลางดึกจะเห็นมีผู้หญิงยืนอยู่หน้าลิฟท์ส่งเสียงร้องว่า"ช่วยด้วย" จนในปัจจุบันถ้าเกิน4โมงเย็นเป็นต้นไปจะเห็นว่าทั้งอาจารย์ บุคลากรและนิสิตเองถึงแม้จะมีเรียนชั้น7และชั้น8ก็เดินขึ้นบันไดและหลบหลีกบริเวณลิฟท์ดังกล่าว เพราะต่างหวาดกลัวกับความหลอนของนิสิตสาวที่มีใจผูกติดอยู่ในสถานที่แห่งนั้น

2.ซอยหนองไผ่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ซอยหลอน

     เดิมทีซอยหนองไผ่เดิมที่เป็นทางเกวียนเล็กๆใช้สำหรับลำเลียงศพเพื่อนนไปฝังกลางป่าช้าซึ่งปัจจุบันป่าช้าได้ถูกถางออกปรับเปลี่ยนเป็นแปลงปลูกหม่อนข้างคอนโดอาจารย์ ตามคติความเชื่อของคนอีสานเด็กที่ยังอายุไม่ถุง12ปีจะถูกนำไปฝังซึ่งที่ฝังปัจจุบันก็คือป่าหม่อนข้างคอนโดอาจารย์ ส่วนศพที่ต้องนำไปเผาก็จะนำไปเผาที่เชิงตะกอนชายป่าช้าซึ่งเป็นที่ตั้งของ อบต.ขามเรียงในปัจจุบัน ซอยหนองไผ่อยู่ในบริเณข้างร้านซ่อมรถจักรยานยนต์จากปากซอยจนไปถึงหลังหอแรกของซอยมีระยะทางประมาณ200เมตร จากการเข้าด้านซ้ายจะมีหนองน้ำส่วนด้านขวาจะเป็นป่าละเมาะ เรื่องที่จะเตือนต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของ200เมตรที่จะชี้ชะตาคุณว่าถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามคำเตือนคุณจะพบกับอะไรบ้าง

 

3.อุโมงค์ผีผ่าน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อุโมงค์ผีผ่าน

      ว่ากันว่าอุโมงค์ ม.เก่า สร้างขึ้นเพื่อให้คนเดินลอดข้ามฝั่งได้อย่างปลอดภัย เพราะเวลาผู้ปกครองมาส่งลูกหลานทั้งกลัวผู้ปกครองและเด็กนักเรียนถูกรถชนทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตบ่อยครั้ง ทั้งนิสิตเองที่จะข้ามไปเรียนระหว่างตึกก็เช่นเดียวกัน ทางการจึงได้สร้างอุโมงค์เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแต่ในทางกลับกันการสร้างอุโมงค์เพื่อแก้ไขปัญหากลับสร้างอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตของคนเพิ่มมากขึ้น เมื่อ10กว่าปีตอนที่ช็อปปั้นของศิลปกรรมยังอยู่ที่ ม.เก่า ตอนที่กำลังสร้างอุโมงค์เจ้าหน้าที่ขุดทางเป็นช่อนแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดถนนด้านบนลักษณะเหมือนถนนขาดมีมอเตอร์ไซค์ขับมาเร็วมากดบรกไม่ทันตกลงไปคอหักตายรุ่นพี่วิ่งไปดูเห็นกับตาตายคาที่ อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นประมาณปี2553 มีเหตุนิสิตหญิงคณะการบัญชีและการจัดการประสบอุบัติเหตุ2คนเป็นพี่น้องกันขี่มอเตอร์ไซ์มาจากวิทยาลัยพละศึกษามาถึงตรงยูเทิร์นหน้า ม.เก่า มีรภยนต์ขับมาด้วยความเร็วยูเทิร์นรถพอดีและด้วยความที่ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับ2พี่น้องนั้นอย่างแรง คนแรกเสียชีวิตทันทีคนที่สองเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และเหตุการณ์สุดท้ายที่ต้องทำให้อุโมงค์นี้ถูกปิดไปพักใหญ่ก็คือ เหตุการณืที่มีนิสิตหญิงถูกฆ่าปาดคอที่ใต้อุโมงค์เมื่อประมาณปี2554ขณะนั้นมีเสียงล่ำลือกันว่ามีเงาผู้หญิงใติอุโมงค์มีคนเห็นจำนวนมากเป็นหญิงสาวเพื่ออยากจะบอกกับใครบางคนว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ มหาวิทยาลัยจึงต้องปิดปรับปรุงอุโมงค์นี้ด้วยเหตุผลที่ว่าซ่อมแซมอุโมงค์ทั้งๆที่อุโมงค์ไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย ความเฮี้ยนถูกเล่าต่อกันมารุ่นต่อรุ่นจนเป็นที่ติดปากกันว่าอุโมงค์อาถรรพ์

ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ



 

       ที่มา: www.youtube.com


ผีที่ถูกล่ามแห่งโบโลญญา

สวัสดีค่ะ วันนี้ก็มาพบกับเรื่องเล่า ตำนาน ลี้ลับอีกแล้วนะคะ มาดูว่าวันนี้จะมีเรื่องเล่าหลอนๆเรื่องอะไรมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน ไปดูกันเล...